x
Submitted by CUEDU_PR on 21 October 2020

ธรรมะดีๆ ตอนที่ 20 เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน 2563 การปฏิบัติเพื่อละตัวตน (สรุปจากเรื่องการปล่อยวาง)
ถ่ายทอดโดย รศ.ดร.สุชาดา บวรกิติวงศ์

.
เราทุกคนเปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ที่ฉายแสง บ้างก็เพิ่งพ้นขอบฟ้า บ้างก็อยู่กลางฟ้า บ้างก็กำลังคล้อยต่ำ แต่ไม่ว่าจะอยู่ตรงจุดไหนในที่สุดก็ต้องลับขอบฟ้าไป โลกที่เคยสว่างไสวที่สุดก็ต้องมืดสนิท นี่คือความจริงของชีวิตที่ไม่มีใครหนีพ้น
.
อะไรก็ตามที่ไม่อาจหนีพ้น ควรต้อนรับด้วยใจสงบ ความตายก็เช่นกัน ใครที่คิดหาทางหลีกหนีจะไม่ดีกว่าหรือหากจะเตรียมตัวเตรียมใจพร้อมรับความตาย ทั้งๆที่การเตรียมใจรับความตายเป็นสิ่งสำคัญแต่น่าแปลกที่คนให้ความสำคัญกับเรื่องไม่จำเป็นมากกว่า การฝึกฝนเพื่อพร้อมเผชิญความตายกลับมีน้อยมาก แต่ละคนมีชีวิตราวกับคนลืมตาย
.
มนุษย์ทุกข์เพราะไม่รู้ความจริงพระองค์ตรัสว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งเมื่อเกิดขึ้นแล้วสิ่งนั้นย่อมดับสลายไปเป็นธรรมดา หากเห็นความจริงจะเข้าใจเหตุแห่งทุกข์ คนที่เป็นมะเร็งระยะสุดท้ายอาจตายด้วยหัวใจวาย คนที่แข็งแรงดีอาจตายก่อนคนที่เป็นเอดส์
.
ความตายสามารถจู่โจมได้ทุกเวลาทุกสถานที่ จะเผชิญความตายอย่างไร เผชิญด้วยอาการยอมรับหรือต่อสู้ขัดขืน ด้วยความรู้สึกปล่อยวางหรือยืดเยื้อสุดกำลัง ด้วยจิตสงบหรือตื่นตระหนก เผชิญด้วยสติหรือความหลง ชีวิตกับความตายไม่อาจแยกจากกัน มีชีวิตอย่างไรตายอย่างนั้น หากปรารถนาที่จะตายอย่างสงบ ควรอยู่อย่างมีสติไม่ประมาท หากหลงใหลเพลิดเพลินจนลืมตายย่อมยากจะรักษาใจให้สงบเมื่อวาระสุดท้ายมาถึง
.
ร่างกายเป็นเพียงกองธาตุที่มารวมกันแล้วที่สุดก็จะสลายไปตามธรรมชาติ รวมกันแล้วสมมติว่าเป็นตัวเรา พิจารณาให้ดี ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เขาเป็นของเขาอย่างนั้น เขาเกิดมาเพื่อตาย เอาของเกิดมาตายมาเป็นเราเป็นของเราได้อย่างไร ตั้งแต่ศีรษะลงมาเป็นกองธรรมทั้งนั้นเรียกว่าอนิจจัง (ไม่เที่ยง) ทุกขัง (ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้) อนัตตา (ไม่ใช่ตัวตน)
.
เมื่อเจอแดดร้อน เจออากาศหนาว ร้อน ให้เห็นความจริงว่ามันก็เป็นของมันอย่างนั้น ผู้เห็นความจริงจะไม่บ่น ผู้ที่บ่นแสดงว่ามีความอยากให้เป็นอย่างอื่น เช่นบ่นร้อนไปแสดงว่าอยากให้เย็น ฝึกเห็นความจริงอยู่กับความจริงได้อย่างสงบเข้าใจความจริงว่ามันเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่อยู่กับความอยาก อยากให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ยังติดสมมุติ ออกจากสมมุติอยู่กับความจริง เช่นวันนี้บังเอิญตื่นสายแถมฝนตกแต่เช้า ทำให้กังวลว่าจะไปทำงานทันหรือไม่ ตื่นขึ้นมาก็กังวลเลย เป็นจิตที่มีกิเลส
.
ควรอยู่กับความจริงว่าฝนตกก็เป็นอย่างนั้น เราสั่งให้ไม่ตกไม่ได้ ยอมรับว่ารถคงจะติดน่าดู ทำดีที่สุดด้วยจิตปกติ หากไปสายก็สายไม่เป็นไร ทำใจให้สงบ เห็นฝนตกเป็นธรรมดา ไม่ต้องทุกข์ ไม่ต้องกังวล ไม่ต้องอยากให้หยุด เมื่อหมดเหตุมันก็หยุดของมันเอง ไม่ขึ้นกับความอยากของใคร เรียกว่าอยู่กับความจริง ไม่ต้องกังวล ไม่ต้องอารมณ์เสีย
.
มนุษย์มีโรคทางกายคือแก่เจ็บตาย มีโรคทางจิตคือยึดกายใจเป็นเรา พระพุทธเจ้าสอนว่าไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา การยึดมีได้เพราะความคิด ความหลง ความจริงมีแต่ของเกิดมาตาย ไม่มีอะไรเป็นของเราสิ่งที่มีต้องตายต้องทิ้งทั้งนั้น สิ่งที่มีในโลกไม่มีอะไรเป็นตัวเป็นตน มีแต่ของเกิดแล้วเสื่อม เสื่อมแล้วดับ เมื่อตัวเราไม่มี ของเราย่อมไม่มี มีแต่ของตายของทิ้ง ของเกิดมาตายไม่ใช่ใคร ไม่ใช่ของใคร
.
เขาเป็นยังไง เห็นตามสภาพอย่างนั้น มันเป็นตามธรรมชาติของมันพระพุทธเจ้ารู้ชัดความจริง สิ่งที่มีคือแต่ละขันธ์ล้วนเป็นอนัตตา เราคือธรรม ธรรมคือเรา ธรรมคือความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน หากเห็นธรรมจะไม่หลง โลกนี้ไม่มีอะไรเป็นตัวตน ปล่อยวางของเกิดมาตาย หากปล่อยวางไม่ได้แสดงว่ายังเห็นไม่ชัด ยังเห็นเป็นตัวเป็นตนอยู่ ปล่อยวางได้เป็นความรู้ที่ถูกต้อง ธรรมะทั้งหมดอยู่ที่ใจอย่างเดียว อย่าพอใจอยู่กับของทิ้ง